วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

กฏหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

กฎหมายคอมพิวเตอร์

เมื่อวันจันทร์ที่28 มี.ค. 54 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จัด ประชุมรับฟังและให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติว่า ด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยเชิญตัวแทนผู้ประกอบการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยในการประชุมดังกล่าว มีการแจกเอกสารร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ที่กระทรวงไอซีทีจัดทำขึ้นด้วย
ร่างกฎหมายนี้ เขียนขึ้นเพื่อให้ยกเลิกพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550 ทั้ง ฉบับ และให้ใช้ร่างฉบับใหม่นี้แทน อย่างไรก็ดี โครงสร้างของเนื้อหากฎหมายมีลักษณะคล้ายคลึงฉบับเดิม โดยมีสาระสำคัญที่ต่างไป ดังนี้
ประเด็นที่1 เพิ่มนิยาม “ผู้ดูแลระบบ”
มาตรา4 เพิ่ม นิยามคำว่า “ผู้ดูแลระบบ” หมายความว่า “ผู้มีสิทธิเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการแก่ผู้อื่นในการเข้าสู่อิน เทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น”
ใน กฎหมายเดิมมีการกำหนดโทษของ “ผู้ให้บริการ” ซึ่งหมายถึงผู้ที่ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า การพยายามเอาผิดผู้ให้บริการซึ่งถือเป็น “ตัวกลาง” ในการสื่อสาร จะส่งผลต่อความหวาดกลัวและทำให้เกิดการเซ็นเซอร์ตัวเอง อีกทั้งในแง่ของกฎหมายคำว่าผู้ให้บริการก็ตีความได้อย่างกว้างขวาง คือแทบจะทุกขั้นตอนที่มีความเกี่ยวข้องในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารก็ล้วนเป็น ผู้ให้บริการทั้งสิ้น
สำหรับ ร่างฉบับใหม่ที่เพิ่มนิยามคำว่า “ผู้ดูแลระบบ” ขึ้นมานี้ อาจหมายความถึงเจ้าของเว็บไซต์ เว็บมาสเตอร์ แอดมินระบบเครือข่าย แอดมินฐานข้อมูล ผู้ดูแลเว็บบอร์ด บรรณาธิการเนื้อหาเว็บ เจ้าของบล็อก ขณะที่ “ผู้ให้บริการ” อาจหมายความถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
ตาม ร่างกฎหมายนี้ ตัวกลางต้องรับโทษเท่ากับผู้ที่กระทำความผิด เช่น หากมีการเขียนข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง กระทบกระเทือนต่อความมั่นคง ผู้ดูแลระบบและผู้ให้บริการที่จงใจหรือยินยอมมีความผิดทางอาญาเท่ากับผู้ที่ กระทำความผิด และสำหรับความผิดต่อระบบคอมพิวเตอร์ เช่นการเจาะระบบ การดักข้อมูล หากผู้กระทำนั้นเป็นผู้ดูแลระบบเสียเอง จะมีโทษ1.5 เท่าของอัตราโทษที่กำหนดกับคนทั่วไป
ประเด็นที่ 2 คัดลอกไฟล์ จำคุกสูงสุด 3 ปี 
สิ่งใหม่ในกฎหมายนี้ คือมีมาตรา16 ที่ เพิ่มมาว่า “ผู้ใดสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ทั้งนี้ การทำสำเนาคอมพิวเตอร์ อาจหมายถึงการคัดลอกไฟล์ การดาว์นโหลดไฟล์จากเว็บไซต์ต่างๆ มาตรานี้อาจมีไว้ใช้เอาผิดกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์หรือเพลง แต่แนวทางการเขียนเช่นนี้อาจกระทบไปถึงการแบ็กอัปข้อมูล การเข้าเว็บแล้วเบราว์เซอร์ดาว์นโหลดมาพักไว้ในเครื่องโดยอัตโนมัติหรือที่ เรียกว่า “แคช” (cache เป็น เทคนิคที่ช่วยให้เรียกดูข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น โดยเก็บข้อมูลที่เคยเรียกดูแล้วไว้ในเครื่อง เพื่อให้การดูครั้งต่อไป ไม่ต้องโหลดซ้ำ) ซึ่งผู้ใช้อาจมิได้มีเจตนาหรือกระทั่งรับรู้ว่ามีกระทำการดังกล่าว
ประเด็นที่ 3 มีไฟล์ลามกเกี่ยวกับเด็ก ผิด
ในมาตรา25 “ผู้ ใดครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์ซึ่งมีลักษณะอันลามกที่เกี่ยวข้องกับเด็กหรือ เยาวชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
เป็นครั้งแรกที่มีการระบุขอบเขตเรื่องลามกเด็กหรือเยาวชนโดยเฉพาะขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ยังมีความคลุมเครือว่า ลักษณะอันลามกที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนนั้นหมายความอย่างไร นอกจากนี้ มาตราดังกล่าวยังเป็นการเอาผิดที่ผู้บริโภค ซึ่งมีความน่ากังวลว่า การชี้วัดที่ “การครอบครอง” อาจทำให้เกิดการเอาผิดที่ไม่เป็นธรรม เพราะธรรมชาติการเข้าเว็บทั่วไป ผู้ใช้ย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าการเข้าชมแต่ละครั้งดาว์นโหลดไฟล์ใดมาโดย อัตโนมัติบ้าง และหากแม้คอมพิวเตอร์ถูกตรวจแล้วพบว่ามีไฟล์โป๊เด็ก ก็ไม่อาจหมายความได้ว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้ดูผู้ชม
ประเด็นที่ 4 ยังเอาผิดกับเนื้อหา
มาตรา24 (1) นำ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความ ตื่นตระหนกแก่ประชาชน
เนื้อความข้างต้น เป็นการรวมเอาข้อความในมาตรา14 (1) และ (2) ของ กฎหมายปัจจุบันมารวมกัน ทั้งนี้ หากย้อนไปถึงเจตนารมณ์ดั้งเดิมก่อนจะเป็นข้อความดังที่เห็น มาจากความพยายามเอาผิดกรณีการทำหน้าเว็บเลียนแบบให้เข้าใจว่าเป็นหน้าเว็บ จริงเพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล (phishing) จึง เขียนกฎหมายออกมาว่า การทำข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมถือเป็นความผิด แต่เมื่อแนวคิดนี้มาอยู่ในมือนักกฎหมายและเจ้าหน้าที่ ได้ตีความคำว่า “ข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม” เสียใหม่ กลายเป็นเรื่องการเขียนเนื้อหาอันเป็นเท็จ และนำไปใช้เอาผิดฟ้องร้องกันในเรื่องการหมิ่นประมาท ความเข้าใจผิดนี้ยังดำรงอยู่และต่อเนื่องมาถึงร่างนี้ซึ่งได้ปรับถ้อยคำใหม่ และกำกับด้วยความน่าจะเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่น ตระหนกแก่ประชาชน มีโทษจำคุกสูงสุด ห้าปี ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หาก พิจารณาจากประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินคดีคอมพิวเตอร์ที่ผ่านมา ปัญหานี้ก่อให้เกิดการเอาผิดประชาชนอย่างกว้างขวาง เพราะหลายกรณี รัฐไทยเป็นฝ่ายครอบครองการนิยามความจริง ปกปิดความจริง ซึ่งย่อมส่งผลให้คนหันไปแสดงความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ตแทน อันอาจถูกตีความได้ว่ากระทบต่อความไม่มั่นคงของ “รัฐบาล” ข้อความกฎหมายลักษณะนี้ยังขัดต่อสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงความคิด เห็นโดยไม่จำเป็น
ประเด็นที่5 ดูหมิ่น ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
มาตรา26 ผู้ ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพ ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น หรือข้อมูลอื่นใด โดยประการที่น่าจะทำให้บุคคลอื่นเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย หรือเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นข้อมูลที่แท้จริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่ผ่านมามีความพยายามฟ้องคดีหมิ่นประมาทซึ่งกันและกันโดยใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จำนวนมาก แต่การกำหนดข้อหายังไม่มีมาตราใดในพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ที่จะใช้ได้อย่างตรงประเด็น มีเพียงมาตรา 14 (1) ที่ระบุเรื่องข้อมูลอันเป็นเท็จดังที่กล่าวมาแล้ว และมาตรา 16 ว่าด้วยภาพตัดต่อ ในร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ได้สร้างความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ใช้ตั้งข้อหาการดูหมิ่นต่อกันได้ง่ายขึ้นข้อสังเกตคือ ความผิดตามร่างฉบับใหม่นี้กำหนดให้การดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาทมีโทษจำคุกสามปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท ทั้งที่การหมิ่นประมาทในกรณีปกติ ตามประมวลกฎหมายอาญามีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
ประเด็นที่6 ส่งสแปม ต้องเปิดช่องให้เลิกรับบริการ
มาตรา21 ผู้ ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เป็นจำนวนตามหลักเกณฑ์ที่ รัฐมนตรีประกาศกำหนด เพื่อประโยชน์ทางการค้าจนเป็นเหตุให้บุคคลอื่นเดือดร้อนรำคาญ และโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้รับข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ สามารถบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพื่อปฏิเสธการตอบรับได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
จากที่กฎหมายเดิมกำหนดเพียงว่า การส่งจดหมายรบกวน หากเป็นการส่งโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา ถือว่าผิดกฎหมาย ในร่างฉบับใหม่แก้ไขว่า หากการส่งข้อมูลเพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้รับสามารถบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพื่อปฏิเสธการ บอกรับได้ ทั้งนี้อัตราโทษลดลงจากเดิมที่กำหนดโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท มาเป็นจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ ยังต้องตั้งข้อสังเกตด้วยว่า หากการส่งข้อมูลดังกล่าว แม้จะเป็นเหตุให้บุคคลอื่นเดือดร้อนรำคาญ แต่ไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ทางการค้า ก็จะไม่ผิดตามร่างฉบับใหม่นี้
ประเด็นที่7 เก็บโปรแกรมทะลุทะลวงไว้ คุกหนึ่งปี
มาตรา23 ผู้ ใดผลิต จำหน่าย จ่ายแจก ทำซ้ำ มีไว้ หรือทำให้แพร่หลายโดยประการใด ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ชุดคำสั่ง หรืออุปกรณ์ที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความ ผิดตามมาตรา 15 มาตรา 16 มาตรา 17 มาตรา 18 มาตรา 19 และมาตรา 20 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
น่าสังเกตว่า เพียงแค่ทำซ้ำ หรือมีไว้ซึ่งโปรแกรมที่ใช้เจาะระบบ การก๊อปปี้ดาวน์โหลดไฟล์อย่างทอร์เรนท์ การดักข้อมูล การก่อกวนระบบ ก็มีความผิดจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท เรื่องนี้น่าจะกระทบต่อการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์โดยตรง
ประเด็นที่ 8 เพิ่มโทษผู้เจาะระบบ
สำหรับกรณีการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ เดิมกำหนดโทษจำคุกไว้ไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ร่างกฎหมายใหม่เพิ่มเพดานโทษเป็นจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท(เพิ่มขึ้น 4 เท่า)
ประเด็นที่ 9 ให้หน้าที่หน่วยใหม่ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)
ร่างกฎหมายนี้กำหนดหน้าที่ให้หน่วยงานซึ่งมีชื่อว่า “สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)” เรียกโดยย่อว่า “สพธอ.” และให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Electronic Transactions Development Agency (Public Organization)” เรียกโดยย่อว่า “ETDA” เป็นองค์การมหาชนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงไอซีที
หน่วยงานนี้เพิ่งตั้งขึ้นเป็นทางการ ประกาศผ่าน “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็คทรอนิสก์ พ.ศ. 2554” เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 54 โดยเริ่มมีการโอนอำนาจหน้าที่และจัดทำระเบียบ สรรหาประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มี.. 54
ในร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่นี้ กำหนดให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) มีบทบาทเป็นฝ่ายเลขานุการของ “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์” ภายใต้ร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับที่กำลังร่างนี้
นอกจากนี้ หากคดีใดที่ต้องการสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดซึ่งอยู่ในต่างประเทศ จะเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุด ในร่างกฎหมายนี้กำหนดว่า พนักงานสอบสวนอาจร้องขอให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์(องค์การมหาชน) เป็นผู้ประสานงานกลางให้ได้ข้อมูลมา
ประเด็นที่10 ตั้งคณะกรรมการ สัดส่วน 8 – 3 – 0 : รัฐตำรวจ-ผู้ทรงคุณวุฒิ-ประชาชน
ร่างกฎหมายนี้เพิ่มกลไก“คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์” ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นรองประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ผู้ อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยระบุตัวบุคคลจากผู้มี ความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ในด้านกฎหมาย วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การเงินการธนาคาร หรือสังคมศาสตร์จำนวนสามคน โดยให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี
คณะกรรมการชุดนี้ ให้ผู้แทนจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์(องค์กรมหาชน), สำนักงานกำกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (สังกัดกระทรวงไอซีที), สำนักคดีเทคโนโลยี (สังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม), และ กลุ่มงานตรวจสอบและวิเคราะห์การกระทำความผิดทางเทคโนโลยี กองบังคับการสนับสนุนทางเทคโนโลยี (บก.สสท.) (สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) เป็นเลขานุการร่วมกัน
คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ออกระเบียบ ประกาศ ตามที่กำหนดในพ.ร.บ.นี้ และมีอำนาจเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสารหลักฐาน รวมถึง “ปฏิบัติการอื่นใด” เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ โดยให้ถือว่าคณะกรรมการและอนุกรรมการเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา http://www.sirinhospital.go.th/it/index.php/component/content/article/163?itemid=183

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

การทำบุญที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตคือการทำบุญกับพ่อแม่ค่ะ เพราะท่านเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดและการทำบุญกับคุณพ่อคุณแม่ก็ทำได้ง่ายมาก แค่พูดดีๆ กับท่าน เอาใจใส่ท่าน มีความกตัญญู แค่นี้ก็ได้บุญและมีความสุขที่สุดแล้ว

เรื่องเล่าสาวคนนี้ ไบรท์ - พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ

ในทำเนียบของผู้ประกาศข่าววันนี้คงมีชื่อของคุณไบรท์ - พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ ปรากฏอยู่ในดวงใจของบรรดาคอข่าวเป็นแน่ เพราะนอกจากเธอจะเล่าข่าวได้ฉะฉานและมีไหวพริบปฏิภาณดีแล้ว เธอยังมีความน่ารักและเปล่งประกายความเป็น “คนจิตใจดี” ออกมาอีกด้วย
เมื่อได้พูดคุยกัน เรายิ่งไม่แปลกใจเลยที่ใครๆ พากันชอบเธอ พร้อมกันนี้ก็อยากจะรู้ว่าเธอมีเคล็ดลับในการใช้ชีวิตอย่างไร ถึงได้ดูสุข สดใส และ “ไบรท์”สมชื่ออย่างนี้

อาชีพผู้ประกาศข่าวทำให้ต้องรับรู้ข่าวต่างๆ ทั้งดีและร้ายแทบทุกวัน มีผลกระทบต่อคุณไบรท์อย่างไรคะ
ไบรท์มองข่าวเป็นครูค่ะ ข่าวสอนอะไรไบรท์เยอะมาก ทั้งข่าวดีและไม่ดี ถ้ามองให้ลึกๆ การดูข่าวก็เหมือนกับเราได้
เรียนรู้ชีวิตจากคนอื่นนะคะ เช่นมีข่าวหนึ่งที่กระทบกระเทือนใจไบรท์เป็นพิเศษ คือ ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังขับรถไปรับแฟนที่ทำงาน ระหว่างทางเธอคุยโทรศัพท์กับแฟนว่ากำลังจะไปถึงในอีก 10 นาที แต่พอวางหูได้ไม่นาน ก็เกิดพายุลมแรงพัดเสาไฟฟ้าล้มลงมาทับรถ ผู้หญิงเสียชีวิตคาที่ ในขณะที่ผู้ชายก็ยังรอให้แฟนมารับ พอเขาทราบข่าวก็ร้องไห้เสียใจอย่างหนักข่าวนี้ทำให้ไบรท์คิดได้ว่าชีวิตคนเราสั้นมาก จะตายตอนไหนก็ไม่รู้ พรุ่งนี้กับชาติหน้าเราไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรมาก่อนกันบางทีชาติหน้าอาจมาถึงก่อนก็ได้ถ้าเราตายวันนี้ ไบรท์คิดทันทีว่าไบรท์ต้องทำดีกับครอบครัว กับคนรอบข้างให้มากที่สุด มีสติกับตัวเอง และดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท ในขณะเดียวกัน ข่าวดีๆ อย่างข่าวคนที่สู้ชีวิต ก็ทำให้ไบรท์คิดว่ายังมีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา แต่เขาก็สู้ไม่ถอยเลย ชีวิตเราเจอปัญหาน้อยกว่าเขาตั้งเยอะ เราก็ควรสู้สิ

ทราบว่าเรียนจบอักษรฯ จุฬาฯ เอกภาษาสเปน แล้วมาเป็นผู้ประกาศข่าวได้อย่างไรคะ
ไบรท์เป็นพิธีกรประจำโรงเรียนมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ พอเข้ามหาวิทยาลัยเรียนหนักขึ้น แต่ก็ยังเป็นพิธีกรของภาควิชาอยู่บ้าง กระทั่งวันหนึ่งไบรท์นั่งกินข้าวกลางวันกับคุณพ่อคุณแม่ แล้วได้ดูรายการ ข่าวเที่ยงวัยทีน ทางช่องไอทีวี เห็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยได้อ่านข่าว ก็นึกสนุกอยากอ่านแบบนั้นบ้าง ไบรท์ก็เลยส่งจดหมายไปสมัคร จนได้อ่านข่าวหนึ่งครั้ง ต่อมามีการโหวตผู้ประกาศข่าวขวัญใจข่าวเที่ยงวัยทีน ไบรท์ได้รับการโหวตให้กลับมาอ่านอีก จากนั้นไบรท์ก็ได้เป็นผู้ประกาศข่าวมาเรื่อยๆ ทั้งอ่านข่าวกีฬา เป็นพิธีกรรายการ คนไทยที่ 1 ในโลกอ่านข่าวภาคค่ำช่องสปริงนิวส์ เป็นพิธีกรรายการ เจาะลึก ครม.ซึ่งรายการนี้แหละที่พี่สรยุทธเห็นไบรท์แล้วชวนให้มาทำรายการเรื่องเล่าเช้านี้
ไบรท์คิดว่าตัวเองโชคดีมากค่ะที่ไม่เคยต้องไปสมัครงานที่ไหนเลย ทั้งที่ไบรท์ก็ไม่ได้มีเส้นสายด้วย การที่ไบรท์ได้งานทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ เป็นเพราะได้รับโอกาสจากพี่ทีมงานที่เคยทำงานด้วยกันบ้าง จากผู้ใหญ่ที่เคยเดินผ่านแล้วยกมือไหว้ทักทายกัน ท่านก็เลยชวนไบรท์ไปร่วมงานก็มี ไบรท์สำนึกในบุญคุณของทุกท่านเลยค่ะ

ดูจากบุคลิกเป็นคนแจ่มใสร่าเริง ไม่ทราบเคยมีเรื่องทุกข์อกทุกข์ใจอย่างหนักบ้างไหมคะ
มีค่ะ เรื่องที่ทุกข์ที่สุดคือเรื่องคุณแม่ค่ะ หลายปีก่อนท่านเคยป่วยเป็นโรคมะเร็งที่รังไข่ ตอนนั้นไบรท์จำได้แม่นว่าตัวเองกำลังนั่งอ่านหนังสือรอเข้าสอบ พอรู้เรื่องคุณแม่เท่านั้นแหละ อ่านหนังสือแทบไม่รู้เรื่องเลย อ่านไปก็ร้องไห้ไป
พอสอบเสร็จ ไบรท์ก็รีบโทร.หาแม่ น้ำเสียงท่านเข้มแข็งมาก ไม่ร้องไห้เลยสักแอะ มิหนำซ้ำยังร่าเริงแจ่มใสเหมือนปกติด้วย พอไบรท์ไปถึงโรงพยาบาล ก็โผเข้าไปกอดท่าน พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เพราะกลัวว่าท่านจะยิ่งใจเสีย แต่คุณแม่คงทราบแหละว่าไบรท์เพิ่งร้องไห้หนักมา ท่านก็เลยสอนไบรท์ว่า“ชีวิตก็แบบนี้แหละลูก มีเกิด แก่ เจ็บ และตาย แม่ก็เป็นหนึ่งในนั้น เห็นไหมว่าเราไม่ควรประมาทกับชีวิตนะ” คุณแม่เป็นคนชอบอ่านหนังสือธรรมะมาก ท่านฝึกมรณานุสติเป็นประจำพอวันที่จะต้องเข้าห้องผ่าตัด ท่านสั่งเสียลูกๆ ทุกอย่าง เพราะท่านกลัวว่าหลับไปแล้วอาจไม่ได้ฟื้นขึ้นมาอีก โชคดีมากที่หลังผ่าตัดอาการของแม่หายเป็นปกติ คุณหมอบอกเราว่าอย่าเพิ่งวางใจ ต้องรออีกสิบปีจึงจะแน่ใจว่าแม่หายขาดจากโรคมะเร็งแล้วจริงๆ
ปีนี้เป็นปีที่เก้าแล้ว คุณหมอตรวจร่างกายคุณแม่แล้วพบว่ามีก้อนเนื้ออยู่ในท่อไต ช่วงนี้กำลังอยู่ระหว่างรอผลตรวจว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย ไบรท์ก็เลยกังวลมาก ยิ่งโทร.หาแม่บ่อยกว่าปกติ พี่สาวที่เรียนอยู่ต่างประเทศก็เหมือนกัน เราโทร.ถามสารทุกข์สุกดิบคุณแม่ตลอดทั้งวัน ซึ่งทุกครั้งที่โทร.ไป คุณแม่ก็ยังเข้มแข็งแจ่มใสร่าเริงเหมือนเดิม ทุกวันนี้ไบรท์ก็ได้แต่ถามเพื่อนที่เป็นหมอว่า ถ้าอาการของแม่เป็นแบบนี้แปลว่าอะไร ถามคนนู้นคนนี้เผื่อจะช่วยอะไรแม่ได้บ้าง ในขณะที่คุณแม่กลับทำตัวปกติ ไม่ทุกข์ ไม่เครียด อ่านหนังสือธรรมะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณแม่เป็นคนเข้มแข็งมากจริงๆ ไบรท์ขอเป็นได้สักครึ่งหนึ่งของคุณแม่ก็พอใจแล้ว
Secret Cover ไบร์ท 15965
ถ้าเช่นนั้นไอดอลในดวงใจก็คงหนีไม่พ้นคุณแม่
ใช่ค่ะ สำหรับไบรท์ คุณแม่คือยอดคุณแม่เลยละ เราสนิทกันมากจริงๆ ไม่ใช่เฉพาะคุณแม่หรอกค่ะ ทั้งคุณพ่อและ
พี่สาวด้วย ครอบครัวเราสนิทกันหมด แต่ด้วยความที่สมัยเด็กคุณพ่อต้องไปทำงานต่างจังหวัดเป็นประจำ ลูกสาวทั้งสองคนก็เลยสนิทกับคุณแม่เป็นพิเศษ ไบรท์รู้สึกเหมือนคุณแม่เป็นเพื่อนสนิท สามารถเล่าให้ท่านฟังได้หมดทุกเรื่อง
ตอนไบรท์เป็นเด็ก บ้านเราอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการทุกเช้าคุณแม่จะปลุกลูกด้วยเสียงร้องเพลง ส่วนใหญ่จะเป็น
เพลง ตื่นเถิดชาวไทย ไบรท์และพี่สาวก็จะตื่นนอนอย่างอารมณ์ดีด้วยเสียงเพลงของแม่ แล้วก็ขี่หลังแม่ไปอาบน้ำ เป็นแบบนี้ทุกวัน เชื่อไหมว่าตั้งแต่เด็กจนจบมัธยมปลาย ไบรท์แทบจะไม่ได้ไปร้านทำผมเลยนะคะ เพราะแม่เป็นคนตัดผมให้เองพอถึงวันเกิด แม่จะพาไปตักบาตรตอนเช้าหรือไปทำบุญที่วัดตกเย็นก็จะทำอาหารกินกัน บ้านเราไม่มีงานปาร์ตี้ฉลองวันเกิดไม่มีแม้แต่เค้กวันเกิดด้วยซ้ำ แต่วันนั้นลูกๆ จะกราบขอพรจากคุณแม่คุณพ่อแทนของขวัญ คุณแม่จะชอบอวยพรให้ลูกเป็นเพลง ชื่อเพลง อวยพรวันเกิด เพราะทุกคำในเพลงนี้มีความหมายดีมาก จนทุกวันนี้คุณแม่ก็ยังร้องเพลงนี้ให้ฟังอยู่เหมือนเดิมค่ะ ฟังทีไรไบรท์ก็น้ำตาไหลทุกที ไบรท์เชื่อว่าทุกคำพูดของพ่อแม่เป็นคำศักดิ์สิทธิ์จริงๆ นะ ถ้าท่านอวยพรอะไรให้ เราจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
คุณแม่ของไบรท์มีวิธีการสอนลูกที่แยบยลมาก แม้ทุกวันนี้ไบรท์จะย้ายมาอยู่อีกบ้านให้ง่ายต่อการเดินทางมาทำงาน แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าห่างกับท่านเลย เพราะเราจะโทรศัพท์คุยกันบ่อยๆโดยเฉพาะก่อนนอน แม่มักจะโทร.มาอ่านบทความธรรมะให้ไบรท์ฟัง ในวันพระแม่จะย้ำนักย้ำหนาให้อ่านพุทธโอวาทหนึ่งบทก่อนนอน ไบรท์เชื่อทุกคำที่แม่สอน โดยเฉพาะเรื่องการใช้ชีวิตแม่จะสอนว่า ลูกไม่จำเป็นต้องสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่งนะการอยู่ตรงกลางแล้วรู้จักตัวของตัวเอง จะทำให้ลูกใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ไบรท์นำคำสอนของแม่มาประยุกต์ใช้กับทุกเรื่องแม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างการช็อปปิ้ง ไบรท์เคยรู้สึกนะว่าการช็อปปิ้งทำให้เรามีความสุข แต่พอคิดไปคิดมาถึงได้รู้ว่าเป็นแค่ความสุขชั่วคราว แต่ความสุขที่จะอยู่กับเราได้ยืนยาวคือการที่เรารู้จักตัวเองว่าตัวเราคือใคร ควรใช้จ่ายเท่าไร แล้วอนาคตของเราควรจะเป็นอย่างไร ไบรท์มองว่านี่แหละคือการวางแผนการใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทตามคำสอนของแม่

มีมุมมองความรักในอนาคตอย่างไรคะ
ความรักถ้าบวกด้วยความเข้าใจถึงจะเป็นรักที่ยืนยาวค่ะด้วยอาชีพของไบรท์ที่เวลานอนและตื่นต่างจากคนอื่น จึงทำให้เรามีมุมมองการใช้ชีวิตที่ต่างออกไป การได้คุยกับใครที่มีมุมมองคล้ายกัน มีทัศนคติคล้ายกัน เข้าใจกัน ความรักก็จะราบรื่นไปได้ วันข้างหน้าต่อให้มีปัญหา เราก็พร้อมจะให้อภัยได้ เพราะมีความรักและความเข้าใจเป็นพื้นฐานค่ะ

ทำงานในวงการข่าวที่มีงานยุ่งแทบทุกวันเช่นนี้คุณไบรท์มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรมบ้างไหมคะ
ไปค่ะ ไบรท์ชอบไปปฏิบัติธรรม ปกติไบรท์อ่านข่าวทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ พอเย็นวันศุกร์ก็จะแพ็คของไปปฏิบัติธรรม
แล้ว วัดที่ไปปฏิบัติบ่อยคือวัดปัญญานันทาราม ปทุมธานี และเสถียรธรรมสถานของคุณแม่ชีศันสนีย์ แต่บางครั้งปฏิบัติได้ไม่เต็มที่เพราะมัวพะวงว่าไม่ได้ดูข่าววันเสาร์ - อาทิตย์ พอถึงวันจันทร์จะไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะเอาไปเล่าข่าว ช่วงนี้ก็เลยเปลี่ยนเป็นทำบุญอื่นๆ แทน ทั้งตักบาตร สวดมนต์ นั่งสมาธิไบรท์ว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ทำงานด้านนี้ เพราะมีโอกาสได้ช่วยเหลือคนอื่นเยอะมาก เวลาใครเดือดร้อนแล้วติดต่อมาที่ไบรท์ ไบรท์ก็จะพยายามช่วยประสานต่อให้จนเขาได้รับความช่วยเหลือ แต่สำหรับไบรท์ การทำบุญที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตคือการทำบุญกับพ่อแม่ค่ะ เพราะท่านเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดและการทำบุญกับคุณพ่อคุณแม่ก็ทำได้ง่ายมาก แค่พูดดีๆ กับท่าน เอาใจใส่ท่าน มีความกตัญญู แค่นี้ก็ได้บุญและมีความสุขที่สุดแล้วค่ะ
 Secret Box
มีสติและสร้างความสุขกับปัจจุบันขณะเพราะเรายังไม่รู้ว่าชาติหน้ากับพรุ่งนี้อะไรจะมาถึงก่อนกัน
ไบรท์ - พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

https://www.youtube.com/watch?v=nRISG6pZIoc


5 เหตุผล ที่จะบอกว่าทำไมเด็กเรียนไม่เก่งบางคนกลับประสบความสำเร็จได้มากกว่า

1. เจอจุดมุ่งหมายของชีวิตได้เร็วกว่า

ผมเจอเยอะนะ คือคนกลุ่มนี้ไม่ได้หัวช้า กลับกันเลยล่ะครับ พวกนี้จัดว่าหัวดีมาก เรียนรู้ไว และที่สำคัญคือไม่มีอีโก้ แต่ที่เขาดูไม่ค่อยสนใจการเรียนในห้องก็เพราะว่า เขาเชื่อว่าความรู้วิชานั้นไม่สามารถส่งเสริมหรือช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายชีวิตได้ และไม่ใช่แค่เชื่อเท่านั้นครับ พวกเขาพิสูจน์ตัวเองพร้อมหาช่องทางไว้รองรับเรียบร้อยแล้ว ดีไม่ดีก็ทำงานไปด้วยแล้วซะด้วยซ้ำไป

2. กล้าที่จะลองผิดลองถูก

ด้วยความที่ไฟแรง อีกทั้งภาระในชีวิตก็ถือว่ายังค่อนข้างน้อย(แทบไม่มี) ..เรื่องอะไรที่จะต้องกลัวด้วย จริงมั้ยครับ? -- ด้วยความที่ไม่มีอีโก้ คนประเภทนี้ก็เลยค่อนข้างที่จะเปิดใจ กล้ารับคำวิจารณ์โหดๆ ขยัน แถมยังชอบท้าทายตัวเองอยู่ตลอดเวลา จัดว่าเป็นคุณลักษณะสำคัญของคนสำเร็จเลยล่ะครับ

3. ถ่อมตัว สร้างคอนเน็คชั่น

ทักษะการวางตัวและการเข้าสังคม ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เราสามารถแยกแยะระหว่าง เด็กเนิร์ด กับ เด็กกิจกรรม ได้อย่างดีทีเดียวเลยล่ะครับ โดยเฉพาะกับเด็กเนิร์ดไทยหลายคนที่ชอบท้าทายตัวเองด้วยการทำทุกอย่างเองราวกับว่าตัวเองเป็นอมตะซะอย่างนั้น ..คือทัศนคติมันต่างกันเลยนะครับ และมันก็ไม่ใช่พวกเห็นแก่ตัวอะไรแบบนั้นด้วย คอนเน็คชั่นที่ถูกต้อง คือ โครงข่ายของการให้ ต่างหากล่ะ! 

4. รู้วิธีเอ็นจอยไลฟ์

คนที่รู้จักตัวเองดีพอ เขาจะสามารถจัดการชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสภาวะที่ตึงเครียดหรือยืดหยุ่น ..การจัดการสภาวะอารมณ์เป็นสิ่งที่มหาลัยไม่มีสอน คุณต้องทำความเข้าใจตัวเอง รวมถึงชีวิตของคุณด้วย ..ไม่งั้นเราก็จะเป็นได้แค่หุ่นยนต์หน้ามึนที่หน้าตาเหมือนๆ กันหมดหลังออกจากโรงงาน(มหาลัย)นั่นแหละครับ

5. เข้าใจว่าอุปสรรคก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต

เข้าใจและยอมรับได้ มีความหนักแน่นและอดทน เพราะรู้ดีว่าความลำบากก็เป็นแค่เพียงฉากฉากหนึ่งในเรื่องราวชีวิต ..หน้าที่ของเรา คือ ปรับตัว เรียนรู้ แล้วหาวิธีแก้ไข ..ไม่มีใครหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดในเรื่องนี้ได้หรอกครับ เราจะรับมือกับมันยังไง? นี่ต่างหากที่สำคัญ

นิทาน เรื่อง ขอทานผู้รู้ความสำคัญของสิ่งที่ขอ

นิทานเรื่องนี้ดีนะ...อ่านและแชร์เถอะคุ้มค่าจริงๆ...
กาลครั้งหนึ่ง มีขอทานคนหนึ่งออกขอทานทุกวัน เขาอยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ เพราะฉะนั้น เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรังและตุนไว้ แต่ว่าเขากักตุนเสบียงมาหลายปี ยุ้งฉางของเขาก็มีเพียงข้าวสารนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ
คืนวันหนึ่ง เขาแอบอยู่มุมหนึ่งของบ้านและจ้องไปที่เสบียง ในที่สุด เขาเห็นหนูตัวใหญ่มาขโมยกินเสบียงของเขา เขาโกรธมาก ตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า "บ้านคนรวยมีอาหารเยอะแยะ แกทำไมไม่ไปกินทำไมเจาะจงมากินอาหารข้าที่กักตุนมาด้วยความลำบาก" เจ้าหนูพูดขึ้นว่า "ชะตาของเจ้ามีข้าวสารได้แค่8ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถมีข้าวได้ครบถัง" ขอทานถามเจ้าหนู "ทำไมเป็นเช่นนั้น" เจ้าหนูตอบว่า "ข้าก็ไม่รู้ เจ้าไปถามพระพุทธองค์สิ
ขอทานจึงตัดสินใจ เดินทางไปทางทิศตะวันตกเพื่อถามพระพุทธองค์ ว่าเหตุผลอันใดถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้
เจ้าขอทานก็ออกเดินทาง เขาขอทานระหว่างทาง เดินทางไปไกลมาก วันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืดถึงจะพบบ้านคนหลังหนึ่ง รีบไปเคาะประตู มีพ่อบ้านเดินออกมาถามว่ามีเรื่องอะไร เขาบอกขอข้าวกินหน่อย พอดีเศรษฐีเจ้าของบ้านออกมาเห็นเข้า เลยถามขอทานว่า มืดอย่างนี้แล้วทำไมยังเดินทางอยู่อีก ขอทานจึงเล่าชะตาชีวิตให้เศรษฐีฟัง
บอกว่าจะไปถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ เศรษฐีได้ยินดังนั้น รีบเชิญขอทานเข้าไปนั่งในบ้าน ให้เสบียงกรังและเงินกับเขาจำนวนหนึ่ง ขอทานถามว่าทำไมทำเช่นนั้น เศรษฐีจึงเล่าเหตุผลให้ฟังว่า ลูกสาวข้าอายุ16แล้ว ยังพูดไม่ได้ ขอร้องให้เจ้าช่วยถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ด้วย
เศรษฐีเคยสาบานว่าใครก็ตามที่ทำให้ลูกสาวพูดได้ เขาก็จะให้ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น ขอทานได้ฟังเช่นนั้น คิดว่าไหนๆก็จะไปหาพระพุทธองค์อยู่แล้ว เราก็ถือโอกาสช่วยถามให้เขาก็ได้ ขอทานจึงรับปากจะถามให้
ขอทานเดินทางต่อไปผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เดินถึงเขาลูกหนึ่ง เห็นวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ก็เลยเข้าไปขอน้ำดื่ม เห็นพระแก่รูปหนึ่งถือไม้เท้าดีบุก ท่าทางแก่มาก แต่ดูกระฉับกระเฉง พระชราให้น้ำเขาดื่มและบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่ แล้วถามเขาว่าจะไปไหน ขอทานบอกจุดหมายที่จะไป พระชรารีบจับมือขอทานไว้และพูดว่า ขอร้องเจ้าต้องช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อย ข้าเข้าฌานฝึกฝนมา 500 กว่าปีแล้ว ตามหลักควรจะขึ้นสวรรค์แล้ว ทำไมยังบินขึ้นไปไม่ได้ ขอทานก็เลยรับปากพระชรา
เดินไปข้างหน้า ผ่านหนทางทั้งห้วยหนองคลองบึง ขอทานมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง ในแม่น้ำไม่มีเรือสักลำ ขอทานร้อนรนใจ จะทำอย่างไรดี จะข้ามไปยังไง ขอทานร้องไห้และพูดว่า หรือว่าชีวิตข้าจะต้องลำบากเช่นนี้หรือ ทันใดนั้น เต่ายักษ์แก่ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำ เต่าแก่พูดภาษาคนได้ ถามขอทานว่ามาร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เต่าแก่พูดกับเขาว่า ข้าได้เข้าฌานปฏิบัติตนมา 1000 ปีแล้ว ตามหลักน่าจะกลายเป็นมังกรบินไปแล้ว ทำไมยังเป็นแค่เต่าแก่ๆตัวหนึ่ง ถ้าเจ้าไปพบพระพุทธองค์ช่วยถามให้ข้าด้วย ข้าจะให้เจ้าขี่ข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม ขอทานรับปากด้วยความดีใจ
ขอทานเดินไปจำไม่ได้ว่าอีกกี่วัน แต่ก็หาพระพุทธองค์ไม่เจอ คิดในใจว่าพระพุทธองค์อยู่ไหนนะ แดนสุขาวดีน่าจะถึงแล้ว ขอทานเสียใจมาก เลยผลอยหลับไปแบบงุนงง
ทันใดนั้นพระพุทธองค์ปรากฏองค์ขึ้น ขอทานดีใจมาก พระพุทธองค์ถามขอทานว่า เจ้ามาไกลขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไรที่สำคัญมากใช่ไหม ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะถามคำถามหลายคำถาม หวังว่าท่านจะอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้ พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขหนึ่งนะเจ้าถามได้สูงสุดแค่ 3 คำถามเท่านั้น เพราะว่าไม่เคยมีใครถามเกิน 3 คำถามมาก่อน ขอทานตอบตกลง คิดในใจว่า ข้าจะถามคำถามไหนดีขอทานรู้สึกว่าคำถามของตนเองช่างไม่มีความสำคัญเลย
เต่าแก่เข้าฌานมา1000ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามเขาน่าจะลองถามดู
พระชราปฏิบัติมา500ปี ก็ลำบากมาก คำถามเขาก็น่าจะถามดู
ลูกสาวเศรษฐีช่างน่าสงสารนัก พูดไม่ได้แล้วจะแต่งงานได้ยังไง
คำถามของเขาก็น่าจะถามดู และแล้วขอทานจึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่1
พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าแก่ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้ ในกระดองของเต่ามีไข่มุกราตรีอยู่24เม็ด ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้
คำถามที่2 ท่านตอบว่า พระชราถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน ในใจพะวงแต่ไม้เท้าว่าเป็นของวิเศษ ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น1ที บนพื้นก็จะกลายเป็นธารน้ำใส ถ้าหากพระชรายอมโยนไม้เท้าทิ้ง เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว
ขอทานดีใจมาก จึงถามคำถามที่3 ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวได้พบคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง และทันใดนั้นพระพุทธองค์ก็หายไป?
ขอทานรู้สึกว่า ปัญหาของตัวเองไม่มีอะไรสำคัญ กลับไปขอทานตามเดิมดีกว่า แล้วจึงรีบเดินทางกลับ ขอทานกลับมาถึงริมแม่น้ำ เต่าแก่คำนวนว่าขอทานน่าจะมาถึงแล้ว จึงรีบถามว่าพระพุทธองค์ตรัสว่ายังไง ขอทานพูดว่า เจ้าพาข้าข้ามแม่น้ำไปก่อน ข้าจะเล่าให้ฟัง เต่าพาขอทานข้ามแม่น้ำไป ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง เต่าฟังแล้วเข้าใจทันที จึงถอดกระดองออกยกให้ขอทานและพูดว่า ในนี้มีไข่มุกราตรี24เม็ด เป็นของที่หาค่ามิได้ สำหรับข้าไม่มีประโยชน์แล้ว ข้าขอยกให้เจ้า เต่าแก่จึงกลายเป็นมังกร บินหายไป
ขอทานเอาไข่มุกราตรี24เม็ด รีบเดินทางกลับมาถึงบนเขาพบกับพระชรา พระชรารีบถามว่าพระพุทธองค์ท่านตรัสว่าอย่างไร ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง พระชราได้ฟังดีใจมาก จึงมอบไม้เท้าวิเศษให้แก่ขอทาน พระชราจึงขี่เมฆบินขึ้นท้องฟ้าหายไป
ขอทานเดินทางมาถึงหน้าบ้านเศรษฐี ทันใดนั้น มีหญิงสาววิ่งออกมาและตะโกนเสียงดังว่า คนที่ไปถามพระพุทธองค์กลับมาแล้ว เศรษฐีก็วิ่งออกมา เขาตกใจมากที่อยู่ๆลูกสาวเขาพูดได้ ขอทานถ่ายทอดคำตรัสพระพุทธองค์ เศรษฐีดีใจมาก จึงให้ลูกสาวแต่งงานกับขอทาน
ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา
ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา
คิดเผื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงคุณ
นี่คือเหตุและผล นี่คือกฏเกณฑ์https://www.youtube.com/watch?v=E07Lx8Y7ZsY

เราก็เป็นคนแบบนี้มาตั้งนานละ
เราเปลี่ยนไม่ได้หรอก
ถ้าเปลี่ยนก็สูญเสียความเป็นตัวเองน่ะสิ
ทำไมต้องเป็นเรา...ทำไมไม่เป็นเค้าล่ะที่เปลี่ยน
บลา บลา บลา...ข้ออ้างอีกมากมาย
ควรเป็นเรานั่นหละที่ต้องเปลี่ยน